วันเสาร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

เกษตรฯ หนุนจัดงาน "Durian to Go" by สมาพันธ์ชาวสวนทุเรียนภาคตะวันออก เปิดตัวยิ่งใหญ่ ภายใต้แนวคิด "พัฒนาทุเรียนไทย ก้าวไกลสู่สากล" ณ จังหวัดจันทบุรี





วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เป็นประธานเปิดงาน "Durian to Go" By สมาพันธ์ชาวสวนทุเรียนภาคตะวันออก ณ อาคารขนถ่ายสินค้า องค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี ซึ่งภาคตะวันออกนับเป็นแหล่งผลิตทุเรียนที่สำคัญของประเทศ และขึ้นชื่อในเรื่องของความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งความเข้มของรสชาติ และออกสู่ตลาดก่อนภาคอื่น ๆ ของประเทศไทย จึงเป็นที่นิยมของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ขณะเดียวกันพื้นที่ปลูกทุเรียนภาคตะวันออกมีมากกว่า 700,000 ไร่ ปริมาณผลผลิตมีมากกว่า 500,000 ตัน และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกษตรกรชาวสวนทุเรียนภาคตะวันออกส่วนใหญ่มีการผลิตทุเรียนที่นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ค่อนข้างมาก มีทั้งเป็นผู้ชำนาญการและเกษตรกรรายใหม่ ๆ ที่ยังขาดความรู้ในการจัดการสวนทุเรียนให้มีคุณภาพ ดังนั้น การที่จะทำให้การขับเคลื่อนทั้งกระบวนการผลิต จึงควรเกิดจากความเข้มแข็งของเกษตรกร  

สมาพันธ์ชาวสวนทุเรียนภาคตะวันออก ได้ก่อตั้งมาเมื่อเดือนมิถุนายน 2562 โดยคัดเลือกคณะกรรมการสมาพันธ์ฯ จากเกษตรกรชาวสวนทุเรียนจาก 6 จังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ จันทบุรี ตราด ระยอง ชลบุรี ปราจีนบุรี ซึ่งได้กำหนดเป้าหมายในการขับเคลื่อนเพื่อให้สมาพันธ์ชาวสวนทุเรียนภาคตะวันออกเข้มแข็ง จนสามารถเป็นที่พึ่งพาและเป็นฐานการขับเคลื่อนให้การพัฒนาทุเรียนเป็นไปอย่างมีระบบ เป็นตัวแทนภาคเกษตรกรในการเป็นสื่อกลางประสานงานกับภาครัฐสำหรับให้การสนับสนุนการบริหารจัดทุเรียนอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่การจัดการสวน การจัดการเก็บเกี่ยว การรักษาคุณภาพและมาตรฐานผลผลิตทุเรียน การจัดการตลาดที่สามารถกำหนดราคาได้อย่างยุติธรรม การสร้างมูลค่าเพิ่มและผลักดันผลผลิตสู่กระบวนการแปรรูปให้มากขึ้น และการพัฒนาเกษตรกรชาวสวนสมาชิกให้มีความรู้และนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ที่สอดคล้องและเท่าเทียม

การจัดงาน "Durain to Go" by สมาพันธ์ชาวสวนทุเรียนภาคตะวันออก ภายใต้คอนเซ็ป "พัฒนาทุเรียนไทย ก้าวไกลสู่สากล" เกิดขึ้นจากความร่วมมือของสมาพันธ์ฯ และภาครัฐ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานเกษตรจังหวัดจันทบุรี กรมวิชาการเกษตร และองค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี และเป็นการเปิดตัวสมาพันธ์ชาวสวนทุเรียนภาคตะวันออกอย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างเครือข่ายขยายจำนวนสมาชิกฯ ในการขับเคลื่อนอย่างมั่นคงต่อไป กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 27 - 29 กุมภาพันธ์ 2563 ณ อาคารขนถ่ายสินค้า อบจ.จันทบุรี กิจกรรมหลักในงานประกอบด้วย 1) การเปิดตัวสมาพันธ์ชาวสวนทุเรียนภาคตะวันออกอย่างเป็นทางการ 2) การจัดแสดงนิทรรศการและนวัตกรรมเทคโนโลยีการผลิตและการจัดการทุเรียนจากทุกภาคส่วน  3) การเสวนาเรื่อง "ผ่าทางตัน ดับปัญหาทุเรียนอ่อน" และ “พัฒนาทุเรียนไทย ก้าวไกลสู่สากล” จากผู้แทนสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เจ้าหน้าที่จากสำนักกอังบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี ตัวแทนเกษตรกรจากสมาพันธ์ชาวสวนทุเรียน และผู้เชี่ยวชาญด้านทุเรียน 4) การจำหน่ายสินค้าเกษตรและอุปกรณ์เครื่องมือทางการเกษตร 5) การรับสมัครสมาชิกและเครือข่ายสมาพันธ์ชาวสวนทุเรียนภาคตะวันออก

จากนั้น อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามการจัดทำบันทึกข้อตกลง "ไม่ซื้อไม่ขายสินค้าเกษตรด้อยคุณภาพ" โดยนายวิทูรัช ศรีนาม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี กับ ประธานสมาคมผู้ประกอบการส่งออกทุเรียน มังคุด เกษตรจังหวัดจันทบุรี พาณิชย์จังหวัดจันทบุรี นายกสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านจังหวัดจันทบุรี ผู้แทนเกษตรกร ผู้แทนตลาดค้าส่งสินค้าเกษตร และผู้แทนประกอบการแผงค้าปลีก


วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ความต้องการน้ำของไม้ผล





    ภาคตะวันออกมีการขยายพื้นที่ปลูกไม้ผลเพิ่มขึ้นทุกปีแต่แหล่งน้ำธรรมชาติทั้งเขื่อน อ่างเก็บน้ำและแม่น้ำลำคลองก็มีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ชาวสวนจึงต้องขุดบ่อสระหรือเจาะบาดาลในพื้นที่ตนเองแต่ก็มักไม่เพียงพอหากเกิดภาวะแล้งรุนแรงกลายเป็นปัญหา #ภัยแล้ง อยู่เป็นประจำทั้งๆที่เป็นภูมิภาคที่มีฝนตกปริมาณมาก
   เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอิสราเอลที่มีฝนตกเฉลี่ยตลอดทั้งปีประมาณ 550 มิลลิเมตรกลับมีน้ำเพียงพอต่อความต้องการใช้ทั้งอุปโภค ปริโภคและการเกษตร ทั้งนี้เกิดจากการใช้เทคโนโลยี่ระบบน้ำที่ทันสมัยและการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพนั้นเอง
   ย้อนกลับมามองการใช้น้ำในสวนไม้ผลบ้านเราเกษตรกรส่วนใหญ่ยังคงให้น้ำแบบสิ้นเปลืองมาก การให้น้ำต้องแบบชุ่มฉ่ำสะใจ ถ้าไม่เช่นนั้นจะรู้สึกไม่สบายใจเพราะคิดว่าต้นไม้ได้น้ำไม่เพียงพอ 
   ความต้องการน้ำของพืชมีสูตรการคำนวนโดยการนำค่าการใช้น้ำอ้างอิงของพืชต่อวัน×ค่าสัมประสิทธิ์การใช้น้ำของพืช (KC)ยกตัวอย่างเช่นเดือนมีนาคมของจังหวัดจันทบุรีมีค่าการใช้น้ำอ้างอิงเท่ากับ 4.5 มิลลิเมตรต่อวันในทุเรียนช่วงระยะผลมีค่าสัมประสิทธิ์การใช้น้ำของพืชเท่ากับ 0.85 ดังนั้นความต้องการน้ำของทุเรียนจึงเท่ากับ 4.5×0.85 = 3.8 มิลลิเมตรต่อวัน ปริมาณน้ำ 1 มิลลิเมตรคือปริมาณน้ำ1ลิตรเทลงในพื้นที่ 1 ตารางเมตร ดังนั้นถ้าต้นทุเรียนมีพื้นที่ทรงพุ่ม 10 ตารางเมตรความต้องการน้ำก็จะเท่ากับ 3.8×10 = 38 ลิตรต่อต้นต่อวัน
   หลักการให้น้ำแก่พืชคือให้น้อยแต่บ่อยครั้ง ถ้าเราให้มากเกินความต้องการพืชหรือเกินอัตราการดูดซับของดินน้ำก็จะสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์


เรื่อง มัน มัน พื้นบ้านไทย


มันพื้นบ้านมีมาช้านานก่อนมันฝรั่ง มันเทศที่มาจากต่างประเทศ คนไทยจึงเรียกมัน ฝรั่ง มัน เทศ มันพื้นบ้านหลายชนิดของไทยอยู่ในสกุลใหญ่ Dioscorea สกุลนี้มีพันธุ์ย่อย ๆ กว่า 600 ชนิด ภาษาอังกฤษเรียกรวม ๆ ว่า yam มีรากมาจากภาษาแอฟริกาตะวันตกที่เรียกมันพื้นเมืองว่า nyamba อันแปลว่ากิน หัวใต้ดินของแยมเป็นส่วนหนึ่งของลำต้นเหมือนกับมันฝรั่ง มี หัวอากาศที่เป็นมีลักษณะคล้ายผลทำหน้าขยายพันธุ์หลังจากเถาว์หรือต้นแห้งตาย

มันพื้นบ้านของไทยจัดเป็นแยม มีที่สำคัญ อาทิ

มันเสา (Dioscorea alata ) สันนิษฐานว่ามีถิ่นดั้งเดิมในเมืองไทยหรือพม่า แล้วจึงแพร่เข้าไปทั่วเอเชีย ส่วนใหญ่เป็นหัวขนาดใหญ่ จึงเรียกว่า greater yam มันชนิดนี้มีรูปทรงแตก ๆ ต่างกันออกไป ทั้งแบบยาวตรง กลมรี นิ้วมือ ตัวยู ฯลฯ เคยมีผู้ค้นพบถึง 72 แบบ จึงเรียกไปตามลักษณะหัว เช่น มันงู มันมะพร้าว มันมือหมี มันเหลือง มันเขาวัว มันหวาย ฯลฯ

มันมือเสือ ( Dioscorea alata) หัวมีขนาดเล็กกว่ามันเสา จึงเรียกว่า lesser yam ถิ่นดั้งเดิมมาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หัวหยัก ๆ คล้ายอุ้งเท้าเสือ จึงชื่อมันมือเสือ ชาวบ้านบางคนเรียกชื่อต่างออกไปบ้าง เช่น มันอ้อน มันมุ้ง มันจ้วก ฯลฯ แต่ชื่อมันมือเสือเป็นที่รู้จักทั่วไปมากกว่าใคร มันมือเสือเนื้อเหนียวดี นิยมนำมาซอยทำแกงเลียง หรือจะใช้แทนมันฝรั่งในแกงกะหรี่ แกงมัสมั่นก็อร่อยดี

มันนก (Dioscorea pentaphylla L.) หัวขนาดไม่ใหญ่มาก หาได้ง่ายมากแถวภาคอีสานทั่วไปครับโดยเฉพาะ หน้าประเพณีบุญข้าวสาก ลักษณะใบเป็นใบประกอบ มี 5 ใบย่อย ใบหนา ปลายใบบิดเป็นคลื่น เถาว์ไม่มีหนาม เนื้อเหนี่ยวนิ่ม มีกลิ่นหอม

มันขมิ้น (Dioscorea bulbifera) ชาวบ้านเรียกว่ามันเหน็บ มันอีโม้ ฯลฯ มันขมิ้นมีทั้งหัวใต้ดินและบนกิ่งติดกับลำต้น หัวบนกิ่งจะกลมหรือเป็นรูปไตผิวเรียบเป็นสีน้ำตาล เนื้อในสีเหลืองอ่อน หัวบนดินนำมาปรุงธรรมดาก็กินอร่อย แต่หัวใต้ดินแข็งมาก ต้องแช่น้ำเสียก่อนจึงนำมาปรุงได้

มันเลือด (Dioscorea pentaphylla) เนื้อมีสารสีม่วงกระจายเป็นหย่อม ๆ เมื่อต้มสุกแล้วเนื้อก็ยังออกสีม่วง ดูแปลกตา
เนื้อร่วนซุยเหมือนเนื้อเผือก

กลอย (Dioscorea hispida) หัวใต้ดินกลมรี มีรากเล็กๆกระจายทั่ว มี 3-5 หัวต่อต้น เปลือกบาง สีน้ำตาลออกเหลือง เนื้อในหัวสีขาวหรือสีเหลือง ลำต้นเลื้อยพันต้ไม้อื่น มีหนามเล็กๆกระจายทั่วไป มีขนนุ่มสีขาวกลอยก็เป็นมันป่าอีกชนิดหนึ่งที่คนเรานำมารับประทาน แต่ต้องผ่านกระบวนการที่ถูกต้องเพราะในหัวกลอยบางชนิดมีแคลเซียมออกซาเลต ทำให้ระคายเคือง บางชนิดมีซาโปนิน มีฤทธิ์ทำลายเม็ดเลือด มีสารไดออสโครีน (Dioscorine) ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เป็นอัมพาต ละลายน้ำได้ดี รสเบื่อเมา จึงต้องล้างสารนี้ออกจากกลอยก่อนนำไปบริโภค นิยมนำไปแช่ไว้ในธารน้ำไหลเป็นเวลา 1 คืน หรือนานกว่านี้ ชาวซาไกใช้น้ำแช่หัวกลอยผสมกับยางของยางน่องใช้เป็นยาทาลูกธนู ในอินเดียใช้หัวกลอยเป็นยาฆ่าเหา และเบื่อปลา ใช้น้ำแช่หัวกลอยมาฉีดฆ่าแมลงจำพวกหนอน กลอยดิบตำให้ป่นใช้พอกแผลวัวควายเพื่อฆ่าหนอนในแผล หัวกลอยที่ล้างพิษหมดแล้ว ปรุงเป็นยาแก้เถาดานในท้อง นำหัวกลอยมาปรุงเป็นน้ำมันใส่แผลฝีหนอง

มันอ้อน หัวใต้ดินของ "มันอ้อน"
นำมาต้มทานแล้วเนื้อมีเสี้ยนมากนิยมมากในภาคอีสาน

มันพร้าว รสอร่อย เนื้อสีขาวกรอบ ไม่เหนียวนุ่มและหวานเท่ามันมือเสือ หัวกลมขนาดลูกมะพร้าวปอกเปลือก
สีผิวสีน้ำตาล มีขนหรอมแหรม

นอกจากที่กล่าวมายังมีอีกหลายชนิด
เช่น มันข้าวกร่ำ มันหัวช้าง มันมือหมี มันเห็บ

การขยายพันธุ์

หัวอากาศ ที่มีความสมบูรณ์ไปแช่น้ำประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นนำหัวมันไปแช่ในสารป้องกันและกำจัดแมลง, เชื้อราและฮอร์โมนเร่งรากนานประมาณ 5 นาที แต่สำหรับผมก็แนะนำให้แช่น้ำกะปิและคลุกด้วยขี้เถ้า หลังจากนั้นนำหัวพันธุ์มันมาผึ่งลมให้แห้งและนำไปชำลงในถุงชำดำขนาด 3x7นิ้ว วัสดุที่ใช้ชำหัวมันแนะนำให้ใช้ ขี้เถ้าแกลบ:ดินร่วน:ทรายหยาบ สัดส่วน 1:1:1 กลบหัวมันให้มิดหัวพอดีและนำไปไว้ในโรงเรือนที่มีตาข่ายพรางแสงประมาณ 50% รดน้ำเช้าหรือเย็นเพียงวันละครั้ง หมั่นสังเกตอย่าให้วัสดุในถุงชำแห้ง หลังจากชำหัวมันไปนานประมาณ 45 วัน จะสังเกตมีการแตกยอดนำไปปลูกลงแปลงได้

ในพื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกมันพื้นบ้านได้ประมาณ 2,000 หลัก โดยใช้ระยะปลูกระหว่างต้นเฉลี่ย 75 เซนติเมตรและระยะระหว่างแถว 1 เมตร นำต้นกล้าลงปลูกและกลบดินให้แน่นหลังจากนั้นให้นำไม้ไผ่ลวกขนาดกลางหรือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลำเฉลี่ย 0.5-1 นิ้ว และไม้ไผ่มีความยาวเฉลี่ย 2-2.5 เมตร เสี้ยมปลายไม้ให้แหลมและปักลงไปข้างต้นมันพื้นบ้านให้ห่างจากต้นมันประมาณ 10-15 เซนติเมตร เพื่อให้ต้นมันเลื้อยขึ้นไป

ประโยชน์

มันพื้นบ้านสกุลแยมมีแป้งสูงกว่ามันฝรั่งและมันเทศ ส่วนใหญ่ไม่มีรสหวาน โดยเฉพาะมันเสาจะมีทั้งคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนสูงกว่ามันอื่น ๆ ปัจจุบันมันพื้นบ้านหรือมันป่าของไทยได้รับความสนใจจากผู้บริโภคที่รักสุขภาพมากขึ้นในทางวิทยาศาสตร์ได้มีการวิเคราะห์พบว่า มีสารหลายชนิดที่อยู่ในมันพื้นบ้านมีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์มากมายที่เห็นชัดเป็นรูปธรรมและวงการแพทย์ทั่วโลกต่างยอมรับก็คือ มีสรรพคุณในการรักษาระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนของสตรีวัยหมดประจำเดือน นอกจากนั้นในพื้นบ้านยังอุดมไปด้วยธาตุแคลเซียม, แมกนีเซียม, โพแทสเซียม, วิตามินซีและกรดโฟลิก เป็นต้น มันพื้นบ้านจัดเป็นอาหารที่อยู่คู่คนไทยมานาน แต่คนไทยในชนบทส่วนใหญ่จะบริโภคมันพื้นบ้านที่ขุดขึ้นมาจากธรรมชาติหรือปลูกแซมในสวนหลังบ้าน ไม่ได้มีการพัฒนารูปแบบการปลูกในเชิงพาณิชย์ ทั้ง ๆ ที่ในปัจจุบันมันพื้นบ้านจัดเป็นของหายากและมีราคาซื้อ-ขายสูงมาก มีราคาแพงกว่ามันเทศและมันฝรั่งด้วยซ้ำไป เช่น มันอ้อนและมันนก
ที่เนื้อมีความเหนียวและรสชาติอร่อยมาก
ราคาขายถึงผู้บริโภคเฉลี่ยกิโลกรัมละ 50 บาท
ถ้ามองเชิงพืชเศรษฐกิจ มันพร้าว มันเลือด
มันมือเสือ มันสามชนิดนี้ ปลูกแบบทิ้งขว้างไม่ดูแล
ในดินร่วนทรายอีสานธรรมดา ได้ผลผลิตประมาณ 9 ตันต่อไร่
โดยไม่ต้องใส่ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง หรือทำหญ้า

ขอขอบพระคุณภาพและข้อมูลจาก
@ ฟาร์มสุข สวนกระแส farmsuk Suangrasae
แอดมินเพจ อาหารไทย Thai food ขออนุโมทนาสาธุ

https://m.facebook.com/123965481011924/photos/a.283243018417502/637670556308078/?type=3

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

เกษตรฯ จัด Workshop สร้างเครือข่ายพัฒนาเกษตรกรเป็นผู้จัดการแปลงใหญ่ รุ่นที่ 2 มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไม้ ผลคุณภาพ




วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 นายทวี มาสขาว รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ด้านส่งเสริมการผลิต เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการโครงการพัฒนาเกษตรกรเป็นผู้จัดการแปลง รุ่นที่ 2 ณ โรงแรมไมด้า แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ (MIDA AIRPORT HOTEL BANGKOK) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพเกษตรกรผู้ผลิตไม้ผลแบบแปลงใหญ่ให้สามารถทำหน้าที่เป็นผู้จัดการแปลงได้ ส่งผลให้เกิดความสามารถในการวิเคราะห์ วางแผน บริหารจัดการกลุ่ม การผลิต การตลาด และทุกกิจกรรมตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยนำความรู้และเทคนิคต่าง ๆ ไปประยุกต์ใช้ มีทัศนคติเชิงบวกในการพัฒนาแปลงใหญ่ไม้ผลของตนเอง เกิดเป็นเครือข่ายผู้จัดการแปลงใหญ่ในการเสริมสร้างความเข้มแข็ง เกิดการพัฒนาแปลงได้อย่างเหมาะสม

กรมส่งเสริมการเกษตรมีภารกิจในการส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรของเกษตรกรให้มีคุณภาพมาตรฐาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มรายได้ของเกษตรกร ตลอดจนดูแลคุณภาพชีวิตของเกษตรกร โดยดำเนินการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ที่ยึดพื้นที่เป็นหลักในการดำเนินงานในลักษณะบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการร่วมมือร่วมใจของเกษตรกรที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มการผลิต มีผู้จัดการแปลงเป็นผู้บริหารจัดการพื้นที่ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยมีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้จัดการแปลงมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายให้มีการถ่ายโอนภารกิจผู้จัดการสำหรับแปลงที่ดำเนินการเป็นปีที่ 3 หรือแปลงใหญ่ปี 2561 จำนวน 1,635 แปลง เพื่อให้มีการบริหารจัดการร่วมกัน มีเกษตรกรเป็นศูนย์กลางการดำเนินงาน ผลักดันให้เกษตรกรรวมกลุ่มในการผลิต เพื่อร่วมกันจัดหาปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพดี ราคาถูก และการใช้เทคโนโลยีการเกษตรที่เหมาะสม เช่น เครื่องจักรกลการเกษตรที่ช่วยประหยัดแรงงาน แต่สามารถลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าการเกษตรได้เป็นอย่างดี ตลอดจนการจัดการด้านการตลาดโดยหน่วยงานภาครัฐให้การสนับสนุน และอำนวยความสะดวก จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับผู้จัดการแปลงและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้ไปในทิศทางเดียวกัน

การสัมมนาฯ ครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมสัมมนา รวมทั้งสิ้น 166 คน ประกอบด้วย ผู้จัดการแปลงจากกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ไม้ผล ใน 46 จังหวัด จำนวน 156 คน คณะผู้จัด จำนวน 5 คน และคณะวิทยากร จำนวน 5 คน ที่มาบรรยายให้ความรู้แก่ผู้เข้าร่วมสัมมนา ได้แก่ ดร.พิสัณห์ นุ่นเกลี้ยง และคณะ กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 – 29 กุมภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมไมด้า แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ

สำหรับการดำเนินงานระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน มีแปลงใหญ่ทั้งสิ้น 6,535 แปลง เกษตรกร 365,884 ราย พื้นที่ 6.02 ล้านไร่ แบ่งเป็น ปี 2559 จำนวน 592 แปลง  เกษตรกร 80,216  ราย พื้นที่ 1,386,511ไร่ ปี 2560 จำนวน 1,771 แปลง  เกษตรกร 116,399 ราย พื้นที่ 2,018,097 ไร่ ปี 2561 จำนวน 1,635 แปลง  เกษตรกร 85,464 ราย พื้นที่ 1,348,722 ไร่ ปี 2562 จำนวน 1,586 แปลง  เกษตรกร 73,043 ราย      พื้นที่ 1,114,630 ไร่ และ ปี 2563 จำนวน 952 แปลง  เกษตรกร 10,762 ราย พื้นที่ 152,883 ไร่

การจัดสัมมนาครั้งนี้คาดหวังว่า ผู้เข้าร่วมสัมมนาจะสามารถนำแนวทางดังกล่าวไปพัฒนากลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ให้มีประสิทธิภาพการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรได้ในโอกาสต่อไป
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=487435521926012&id=137851766884391

วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

เตือนเกษตรกร อย่านิ่งดูดาย ปล่อยศัตรูร้าย ทำลายมะพร้าว




นายประสงค์ บุญเจริญ นำทีมเจ้าหน้าที่กลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดชุมพร ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตร-อำเภอปะทิว ลงพื้นที่ติดตามแปลงเรียนรู้ศัตรูพืชอย่างเหมาะสม ของนายสำรวย กลัดกลีบ ซึ่งปลูกมะพร้าวพื้นเมือง จำนวน 12 ไร่ แบ่งให้เช่าทำน้ำตาลมะพร้าว พบร่องรอยการทำลายของศัตรูมะพร้าวได้รับความเสียหายค่อนข้างมาก พบศัตรูมะพร้าวถึง 3 ชนิด คือหนอนหัวดำมะพร้าว ทำให้ใบแห้ง ผลผลิตลดลง และยืนต้นตาย จึงแนะนำให้เกษตรกรฉีดสารเคมีเข้าลำต้น  (อีมาเมกติน เบนโซเอท 1.92% อีซี) โดยมีเจ้าหน้าที่เกษตรตำบลเป็นที่ปรึกษา

ด้วงแรดมะพร้าว ลงมือทำบ่อปุ๋ยหมักล่อตัวเต็มวัยลงมาวางไข่ เพื่อใช้สารชีวภัณฑ์เมตตาไรเซียมกำจัดต่อไป นอกจากนี้ใช้กับดักฟีโรโมนล่อตัวเต็มวัยมาทำลายอีกด้วย
แมลงดำหนามมะพร้าว พบการทำลายไม่มากนัก ดำเนินการปล่อยแมลงหางหนีบบริเวณโคนทางใบ เนื่องจากแมลง-หางหนีบเป็นตัวห้ำ จะแทรกตัวไปตามใบอ่อนมะพร้าวที่ยังไม่คลี่และกินตัวหนอนของแมลงดำหนามเป็นอาหาร

หากเกษตรกรพบปัญหาการเข้าทำลายของศัตรูพืช สามารถสอบถามได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอหรือสำนักงานเกษตรจังหวัดชุมพร

กลุ่มอารักขาพืช: ภาพ  อรกมล ฤคดี : ข่าว

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=129314741942378&id=107547817452404

วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

มันเลือดนก


รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรร่วมสัมมนาการพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรสู่มาตรฐาน GAP และมอบใบรับรองมาตรฐานการผลิตพืช (GAP) และพบปะพี่น้องเกษตรกรจังหวัดชุมพร


นายทวี  มาสขาว  รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ลงพื้นที่จังหวัดชุมพรพบปะเกษตรกรชาวสวนผลไม้จังหวัดชุมพร ในงานสัมมนาและพิธีมอบใบรับรองมาตรฐานการผลิตพืช กิจกรรมพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรสู่มาตรฐาน GAP พืช ณ หอประชุมศูนย์ราชการจังหวัดชุมพร อำเภอเมืองชุมพร  จังหวัดชุมพร โดยจังหวัดชุมพร มีพื้นที่ทางการเกษตรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรของกรมส่งเสริมการเกษตร ปี 2562 จำนวน 2,095,668 ไร่ โดยมีภาคการเกษตรเป็นเศรษฐกิจหลักของจังหวัดโดยมีสัดส่วนอยู่ในช่วงร้อยละ 45.82-46.28 ประกอบด้วย การเกษตร ปศุสัตว์ และประมง โดยมูลค่าการผลิตภาคการเกษตรสูงสุดมาจากพืชเศรษฐกิจหลัก 5 ชนิด ได้แก่ ปาล์มน้ำมัน ยางพารา กาแฟ ทุเรียน และมังคุด โดยมีพื้นที่ปลูกทุเรียนมากเป็นอันดับสองรองจากจังหวัดจันทบุรี และมังคุดมากเป็นอันดับ 3 ของประเทศ เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดชุมพรมีความต้องการในการขอการรับรองมาตรฐานการผลิตพืช (GAP) เพื่อผลิตพืชอาหารในพื้นที่จังหวัดชุมพรให้มีความปลอดภัยแก่ผู้บริโภคภายในประเทศ และเพื่อการส่งออก สมาคมชาวสวนไม้ผลจังหวัดชุมพร ร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัดชุมพร ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรชุมพร ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสุราษฎร์ธานี และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้เห็นถึงความสำคัญของการรับรองมาตรฐานการผลิตพืช (GAP) ได้รับสมัครเกษตรกรผู้มีความสนใจในการขอใบรับรองมาตรฐานการผลิตพืช ในปี 2562 จำนวน 2,704 ราย  ในปี 2563 เดิมจังหวัดชุมพรมีเป้าหมายการขอรับรองมาตรฐานการผลิตพืช (GAP) จำนวน 720 ราย และได้สำรวจเป้าหมายความต้องการ GAP เพิ่มเติม จำนวน 1,793 ราย รวม 2,513 ราย แสดงให้เห็นถึงความตระหนักถึงความปลอดภัยของการผลิตพืชอาหารเพื่อบริโภคภายในครัวเรือนและสร้างความเชื่อมั่นในการจำหน่ายผลผลิตภายในประเทศและต่างประเทศ ในการจัดการสัมมนามีการให้ความรู้การพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรสู่มาตรฐาน GAP พืช พร้อมมอบใบรับรองมาตรฐาน GAP ให้แก่ตัวแทนเกษตรกร และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชุมพรดำเนินการตรวจสารพิษตกค้างสารพิษในเลือดให้แก่เกษตรกรผู้เข้าร่วมสัมมนา มีผู้เข้าร่วมสัมมนาทั้งสิ้น 650 ราย

ภาพ สมาคมชาวสวนไม้ผลจังหวัดชุมพร
ข่าว สำนักงานเกษตรจังหวัดชุมพร

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=480062195996678&id=137851766884391

จังหวัดนครศรีธรรมราช ขอเชิญเฝ้ารับเสด็จสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 17 กุมภาพันธ์ 2563


นายศิริพัฒ  พัฒกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ด้วยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จมาทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง สตูล สงขลา ยะลา และนราธิวาส ระหว่างวันที่ 17-21 กุมภาพันธ์ 2563  โดยกำหนดเสด็จมาทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ศูนย์อำนวยการและประสานการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.หูล่อง อ.ปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ทรงติดตามผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ การจัดการป่าพรุควนเคร็ง  ทอดพระเนตรนิทรรศการของศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริในโครงการพัฒนาลุ่มน้ำปากพนัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการศึกษาทดลองปลูกป่าจากเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศลุ่มน้ำปากพนัง ทอดพระเนตรนิทรรศการของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าว พระราชทานต้นจากแก่ผู้แทนเกษตรกร และพระราชทานพันธุ์สัตว์น้ำแก่ผู้แทนส่วนราชการและผู้แทนเกษตรกร เป็นต้น

จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงขอเชิญชวนข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนทุกหมู่เหล่าร่วมเฝ้ารับ-ส่งเสด็จโดยพร้อมเพรียงกัน ณ ศูนย์อำนวยการและประสานการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.หูล่อง อ.ปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยขอให้เดินทางถึงสถานที่รับเสด็จภายในเวลา 12.00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจังหวัดนครศรีธรรมราช กลุ่มงานอำนวยการ โทร. 0 7535 6553 ..//////////

https://www.facebook.com/139358536611096/posts/603624176851194/

วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

“ตัวเล็ก...สร้างเรื่องใหญ่” เพลี้ยไก่แจ้...ศัตรูทุเรียน

นายประสงค์ บุญเจริญ หัวหน้ากลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดชุมพร นำทีมเจ้าหน้าที่กลุ่มอารักขาพืช ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรอำเภอสวี ติดตามแปลงติดตามสถานการณ์และเตือนการระบาดศัตรูพืช : ทุเรียน ของนางอุดม มหารัตน์ ม.14 ต.ครน อ.สวี พบร่องรอยการทำลายของเพลี้ยไก่แจ้ โดยเกษตรกรใช้วิธีการกำจัดด้วนสารเคมีเรียบร้อยแล้ว จึงให้คำแนะนำวิธีการป้องกันกำจัดแบบผสมผสานเป็นทางเลือกให้เกษตรกร ดังนี้
สำรวจระดับการเข้าทำลายที่ระดับเศรษฐกิจ:เพลี้ยไก่แจ้ 5 ตัว/ยอด และยอดถูกทำลายมากกว่าร้อยละ 50 ต่อต้น
1. ติดตามสถานการณ์เพลี้ยไก่แจ้และศัตรูธรรมชาติ สำรวจร้อยละ 10 ของต้นทั้งหมด 7 วัน/ครั้ง ตรวจนับ 5 ยอด/ต้น ทั้งเพลี้ยไก่แจ้และศัตรูธรรมชาติ พบเพลี้ยไก่แจ้ที่ยังมีชีวิตมากกว่า 5 ตัว/ยอด ถือว่ายอดถูกทำลาย
2. อนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติไว้ควบคุมเพลี้ยไก่แจ้ตามธรรมชาติ ตัวห้ำ : แมลงช้างปีกใส Chrysopa sp. แมลงช้างปีกใสแปดจุด Ankylopteryx octopunctata แมลงช้างปีกสีน้ำตาล Hemerobius sp.
ต่อหลวง ต่อรัง แมงมุม , ด้วงเต่า Menochilus sexmaculatus ด้วงเต่าโรโดเลีย Rodolia sp.
ด้วงเต่า Scymnus sp.
3. กระตุ้นการแตกใบอ่อนให้พร้อมกันทุกต้นเพื่อลดช่วงเวลาการเข้าทำลายของเพลี้ยไก่แจ้ให้สั้นลง
4. ใช้กับดักกาวเหนียวสีเหลืองล่อตัวเต็มวัยมาทำลาย
5.ใช้น้ำฉีดพ่นใบอ่อนที่คลี่แล้วเพื่อลดปริมาณเพลี้ยไก่แจ้
6. ใช้เชื้อบิวเวอเรีย อัตรา เชื้อสด 1 กก. ต่อน้ำ 40 ลิตร ฉีดพ่น
7. ใช้สารเคมี - ใช้เมื่อพบ : ยอดถูกทำลายมากกว่าร้อยละ 50 ต่อต้น หรือยอดที่พบไข่มากกว่าร้อยละ 20 ต่อต้น สารเคมีที่แนะนำ เอ็นโดซัลแฟน 35% EC อัตรา 50 มล./น้ำ 20 ลิตร บูโพรเฟซิน 25% WP อัตรา 20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร หรือ 50% WP อัตรา 10 กรัม/น้ำ 20 ลิตร

https://www.facebook.com/107547817452404/posts/126633302210522/

วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

กรมส่งเสริมการเกษตร วางเป้าพัฒนาผลไม้ไทย ยกระดับให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตและตลาดผลไม้เมืองร้อนที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน สู่ตลาดต่างประเทศ


วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 นายทวี มาสขาว รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการบูรณาการจัดทำยุทธศาสตร์ พัฒนาผลไม้ไทย พ.ศ.2565-2570 โดยมีเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตรผู้รับผิดชอบงานด้านไม้ผลทั่วประเทศร่วมสัมมนา เพื่อนำข้อมูลจากทุกภาคส่วน รอบด้าน มาปรับแผนการปฏิบัติงาน โดยการใช้ความรู้ ทักษะ และนวัตกรรมในการพัฒนา มุ่งผลักดันให้เกิดการพัฒนาการผลิตผลไม้ไทยที่มีมาตรฐาน มีศักยภาพ สามารถแข่งขันได้ในตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ให้เกิดความสอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ณ โรงแรมกรุงศรีริเวอร์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

(แนวทาง) ทิศทางการพัฒนาผลไม้ไทย พ.ศ.2565-2570
 ⁃ สร้างเสถียรภาพราคาผลไม้ ให้เกษตรกรสามารถขายได้ไม่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิต
 ⁃ เพิ่มมูลค่าส่งออกผลไม้สดและผลิตภัณฑ์แปรรูป
 ⁃ พัฒนาคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐาน GAP ในไม้ผลเศรษฐกิจหลัก

(แนวทาง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาผลไม้ไทย
 ⁃ ยุทธศาสตร์ที่ 1  เพิ่มประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการผลไม้ ในการผลิตและยกระดับมาตรฐานสินค้าไม้ผล
 ⁃ ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการตลาดไม้ผล ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
 ⁃ ยุทธศาสตร์ที่ 3 สร้างความเข้มแข็งและความเสมอภาคให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรไม้ผล
 ⁃ ยุทธศาสตร์ที่ 4 บริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในการผลิตผลไม้ครบวงจร

https://www.facebook.com/137851766884391/posts/477629162906648/

วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

มังคุดนครศรีธรรมราช


สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวันครศรีธรรมราช ได้จัดทำเอกสารฐานข้อมูลมังคุด ปี 2562 เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับวางแผนการผลิตมังคุดในจังหวัด โดยเนื้อหาสาระประกอบด้วย ข้อมูลทั่วไปของจังหวัด ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับมังคุด ข้อมูลด้า นโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เกี่ยวข้อง และองค์ความรู้เกี่ยวกับมังคุด เป็นต้น การจัดทำเอกสารฉบับนี้ สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครศรีธรรมราช ขอขอบคุณทุกๆ หน่วยงานทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ให้ความอนุเคราะห์ข้อมูล รวมทั้งข้อมูลที่เผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ หากมีข้อผิดพลาดและคำแนะนำประการใด ทางผู้จัดทำยินดีน้อมรับเพื่อจะได้นำไปปรับปรุงแก้ไขในการดำเนินงานครั้งต่อไปให้ดียิ่งขึ้น
..........................................
กลุ่มสารสนเทศการเกษตร
สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครศรีธรรมราช
มิถุนายน 2562

ดาวโหลด
https://drive.google.com/file/d/1_Hyta7zVyyUkO5MtG33PmtUcj9_dhA8E/view?usp=drivesdk

วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ห่วงแล้ง เพลี้ยจั๊กจั่น รุดเยี่ยมวิสาหกิจชุมชนมะม่วงบ้านแฮด เพื่อการส่งออก จ.ขอนแก่น



เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 นายทวี มาสขาว รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เยี่ยมชมแปลงใหญ่วิสาหกิจชุมชนมะม่วงบ้านแฮดเพื่อการส่งออก พร้อมแนะรับมือภัยแล้ง ตามคำแนะนำ รวมทั้งให้เกษตรกรเฝ้าระวังศัตรูพืชสำคัญ ได้แก่ เพลี้ยไฟ  และ เพลี้ยจั๊กจั่น

สำหรับคำแนะนำการดูแลรักษาต้นไม้ผลให้ผ่านพ้นช่วงแล้ง เกษตรกรมีความจำเป็นต้องมีการจัดการสวนของตนเองให้ต้นไม้อยู่รอดผ่านพ้นช่วงวิกฤตภัยแล้งนี้ไปให้ได้ ทั้งในแง่ของปริมาณและคุณภาพผลผลิต ทำให้ผลไม้มีขนาดเล็กและคุณภาพต่ำ จึงต้องมีการดูแลให้ไม้ผลได้รับน้ำอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ โดยมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้

1. การให้น้ำ โดยคำนึงถึงการให้น้ำแบบประหยัดที่สุด
1.1 ให้น้ำต้นไม้ผล ภายในบริเวณรัศมีทรงพุ่มเท่านั้น อย่าให้น้ำมากจนไหลแฉะไปทั่วสวน
1.2 ให้น้ำ แบบระบบน้ำหยดหรือหัวเหวี่ยงขนาดเล็กจะช่วยประหยัดน้ำได้มากกว่าการใช้สายยางรดน้ำ
1.3 ให้น้ำครั้งน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง เพื่อลดการสูญเสียน้ำเปลี่ยนช่วงเวลาการให้น้ำเป็นช่วงกลางคืน เพื่อช่วยให้พืชลดการระเหยน้ำจากการถูกแดดเผา
2. การใช้วัสดุคลุมดิน โดยคลุมจากโคนต้นไม้ผลจนถึงแนวรัศมีทรงพุ่ม วัสดุที่ใช้ ได้แก่ ใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นจากต้นไม้ผลเอง เป็นต้น
3. การตัดแต่งกิ่ง ควรท่าการตัดแต่งกิ่งให้ทรงพุ่มโปร่ง เพื่อลดการระเหยน้ำทางใบ และช่วยให้การออกดอกติดผลในฤดูต่อไป เป็นไปอย่างต่อเนื่อง

4. การกำจัดวัชพืช ควรกำจัดตั้งแต่ต้นฤดูแล้ง และใช้เศษวัสดุที่แห้งแล้วมาคลุมโคนต้นไม้ผล แต่ในระยะที่ขาดแคลนน้ำมากๆ ไม่ควรทำการกำจัดวัชพืชหรือไถพรวนดิน เพราะจะทำให้ผิวดินแห้งเร็วมากขึ้นอีก

5. จัดหาแหล่งน้ำ โดยปรับปรุงบ่อน้ำให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ และสูบน้ำจากแหล่งน้ำใกล้เคียงมาเก็บกักไว้

6.ไม่ควรใส่ปุ๋ยในช่วงแล้งหากน้ำไม่เพียงพอ เพราะจะเป็นการไปกระตุ้นการเจริญเติบโต ให้แตกใบอ่อนในช่วงแล้งน้ำน้อย จะทำให้พืชมีน้ำไม่พอใช้มากขึ้น ส่งผลทำให้ต้นเหี่ยวเฉาและตายได้

7. ทำแนวกันไฟรอบสวน เพื่อป้องกันไฟไหม้สวน เนื่องจากฤดูแล้งอากาศร้อนจัดและมีใบไม้แห้งมากโอกาสเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี

พร้อมชื่นชมเกษตรกรทำเกษตรผสมผสานปรับตัวรับภัยแล้ง

https://www.facebook.com/209771979200772/posts/1440675206110437/

เกษตรฯ กำหนดแนวทางการจัดการไม้ผล ปี 2563 มุ่งเป้าเกษตรกรขายได้ไม่ต่ำกว่าทุนพร้อมบวกกำไรเพิ่ม 30%


วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจากนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ให้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ครั้งที่ 1/2563 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 134-135 ชั้น 3 โดยมีนายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ในฐานะคณะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการฯ นายทวี มาสขาว รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เข้าร่วมประชุมด้วย มีหน้าที่กำหนดแนวทางบริหารจัดการผลไม้ เพื่อให้จังหวัดใช้เป็นแนวทางพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ทั้งระบบ กำกับ ดูแล แก้ไขปัญหาผลผลิตตามฤดูกาล พร้อมติดตามการดำเนินงานของหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ตามความเหมาะสม

ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางบริหารจัดการผลไม้ ปี 2563 ซึ่งจะต้องมีข้อมูลของผลผลิตที่ชัดเจน เชื่อมโยงกับตลาดผู้ซื้อให้ได้อย่างเหมาะสม  โดยผ่านกลไกของคณะกรรมการเพื่อแก้ปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลผลิตการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) ให้จังหวัดบริหารจัดการผลไม้แบบเบ็ดเสร็จด้วยตนเอง มีแนวทางการทำงาน คือ 1. การบริหารจัดการเชิงคุณภาพ เน้นจัดทำแผนบริหารจัดการผลไม้ในพื้นที่ ทั้งการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการพัฒนาคุณภาพผลไม้ทั้งในและนอกฤดู การส่งเสริมมาตรฐาน GAP การส่งเสริมและพัฒนาการผลิตตามมาตรฐานสินค้าเกษตรด้านไม้ผล ตั้งแต่ก่อนเก็บเกี่ยว ระยะเก็บเกี่ยว และหลังเก็บเกี่ยว 2. การบริหารหารจัดการเชิงปริมาณ ปรับสมดุลข้อมูลของอุปสงค์และอุปทาน โดยเฉพาะในช่วงที่ผลผลิตออกมาก ซึ่งมุ่งหวังให้เกษตรกรสามารถขายผลผลิตได้ในราคาที่เป็นธรรม ราคามาตรฐานเกษตรกรขายได้ไม่ต่ำกว่า ต้นทุน+กำไร 30% มาตรการจะจัดทำเป็นแผนบริหารจัดการเชิงรุก มีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับผิดชอบด้านการผลิตให้ได้คุณภาพมาตรฐาน GAP, มกษ. สถานประกอบการ (ล้ง) ผ่านการรับรอง GMP และกระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบด้านการตลาด การกระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่ให้มีความคล่องตัว การผลักดันการส่งออก การเปิดตลาดต่างประเทศแห่งใหม่ เช่น อินเดีย ส่งเสริมการจำหน่ายผลผลิตผ่านช่องทางสมัยใหม่ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ 3. การบริหารจัดการผลผลิตส่วนเกิน ทั้งกลไกปกติ และมีการจัดทำแผนเผชิญเหตุกรณีเกิดผลผลิตส่วนเกินในช่วง peak โดยเฉพาะทุเรียนต้องเตรียมแผนรองรับการส่งออกไปจีน ซึ่งเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา จะต้องวางแผนการกระจายผลผลิตทั้งในและต่างประเทศ การเพิ่มมูลค่าผลผลิต เช่น การแปรรูป การแช่แข็ง รวมถึงประชาสัมพันธ์กระตุ้นการบริโภคในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ จนสิ้นสุดฤดูกาล