วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2564

ตรวจหน้างานก่อสร้างอาคารปฏิบัติการวิทยาศาสตร์

วันที่ 3 มีนาคม 2564 นายณัทธร รักษ์สังข์ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านอารักขาพืช จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตรวจเร่งรัดการก่อสร้างอาคารปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านอารักขาพืช จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งได้รับจัดสรรงบประมาณในการก่อสร้าง และก่อหนี้ผูกพันแล้ว จำนวน 2,795,000 บาท ซึ่งความก้าวหน้าการก่อสร้างเป็นไปตามแผนการจัดซื้อจัดจ้างที่กำหนด ความคืบหน้าจะได้มีการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง



วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ตรวจนับวัดขนาดไม้ใหญ่จังหวัดระยอง

ถือเป็นโอกาสดีมากๆ ที่ได้มาอยู่ที่นี่ และได้เดินรอบต้นไม้ใหญ่ จำนวน 76 ต้น ณ บริเวณสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 จังหวัดระยอง (คลิกรายละเอียด)



วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

เตือนการระบาดศัตรูมะพร้าว

 

"ไรสี่ขา"
ลักษณะการทำลาย : จะเข้าทำลายภายใต้กลีบขั้วผล ตั้งแต่ผลขนาดเล็ก โดยดูดกินอยู่ภายใต้กลีบเลี้ยงของผลทำให้เกิดแผล และลุกลามทำให้เป็นแผลตกสะเก็ด เมื่อผลโตจะเห็นแผลเป็นร่่องลึกชัดเจนขึ้น แตกเป็นริ้วเหมือนลายไม้สีน้ำตาล และทำลายทุกผลในทลาย ทำให้ผลมะพร้าวชะงักการเจริญเติบโต หากการระบาดรุนแรงในผลเล็กจะร่วงเสียหายจนไม่สามารถจำหน่ายได้

การป้องกันและกำจัด :
1. เน้นพ่นสารฆ่าไรในช่วงระยะมะพร้าวติดจั่นจนถึงระยะผลขนาดเล็ก ห่างกัน 1 สัปดาห์
โดยสารเคมีที่แนะนำ ดังนี้
- โพรพาไกต์ 30%WP อัตรา 30 กรัม (สารกลุ่ม 12)
- อามีทราซ 20%EC อัตรา 40 ซีซี (สารกลุ่ม 19)
- กำมะถัน 80%WG อัตรา 60 กรัม (สารกลุ่ม UN)
- ไพริดาเบน 20%WP อัตรา 10-15 กรัม (สารกลุ่ม 21)
- สไปโรมีซิเฟน 24% SC อัตรา 6 มิลลิลิตร (สารกลุ่ม 23)
- เฮกซีไทอะซอกส์ 1.8% EC อัตรา 30 มิลลิลิตร (สารกลุ่ม 10 A)
- ไซฟลูมีโทเฟน 20% SC อัตรา 10 มิลลิลิตร (สารกลุ่ม 25)
- ทีบูเฟนไพแรด 36% EC อัตรา 3 มิลลิลิตร (สารกลุ่ม 21 )
เลือกสารชนิดใดชนิดหนึ่ง ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นฆ่าไร ทุก 7 วัน อย่างน้อย 4 ครั้ง โดยให้สลับกลุ่มสารตามกลไกการออกฤทธิ์ในการพ่นทุก 2 ครั้ง
*** หมายเหตุ สารกำมะถันห้ามผสมกับสารชนิดอื่น เพราะอาจเกิดไฟโตทอกซิกกับมะพร้าวได้
2. สวนมะพร้าวที่พบการทำลายรุนแรงและล้งรับซื้อผลมะพร้าว ให้ดำเนินการ ดังนี้ ตัดช่อดอก ช่อผล ผลที่พบอาการถูกทำลายจากไรสี่ขามะพร้าว และเศษซากจากการปอกมะพร้าวก่อนจำหน่าย นำมากองรวมกัน หลังจากนั้นพ่นด้วยสารฆ่าไรตามคำแนะนำ และคลุมด้วยผ้าพลาสติก อย่างน้อย 10 วัน

"แมลงดำหนาม"
ลักษณะการทำลาย : ตัวหนอนและตัวเต็มวัยกัดกินยอดอ่อน และซ่อนตัวในใบอ่อนที่พับอยู่และจะเคลื่อนย้ายไปกินยอดอ่อนอื่นหลังจากที่ยอดนี้คลี่ออกแล้ว ต้นมะพร้าวที่ถูกทำลายอย่างรุนแรง
ใบมะพร้าวจะเป็นสีขาวโพลนชัดเจน หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “มะพร้าวหัวหงอก”

การป้องกันและกำจัด : สังเกตใบที่ถูกทำลาย
กรณีระบาดรุนแรงน้อย ต้นมะพร้าวมีทางใบยอดที่ถูกทำลายตั้งแต่ 1 – 5 ใบ ควบคุมการระบาด ดังนี้
1. ใช้วิธีตัดยอดที่ถูกทำลาย เก็บไข่ และตัวหนอน ไปทำลาย
2. ไม่เคลื่อนย้ายต้นพันธุ์มะพร้าวจากแหล่งที่มีการระบาดไปยังแหล่งที่ไม่มีการระบาด
3. ใช้ตัวห้ำและตัวเบียน ในมะพร้าวต้นต่ำกว่า 12 เมตร
3.1 ปล่อยแมลงหางหนีบ บริเวณยอดมะพร้าว อัตรา 50 ตัวต่อยอด หรือ อัตรา 300 ตัวต่อไร่ ให้กินหนอนและดักแด้แมลงดำหนาม
3.2 ปล่อยแตนเบียน อะซีโคดีส ฮิสพินารัม (Asecodes hispinarum) และแตนเบียนเตตระสติคัส บรอนทิสปี้ (Tetrastichus brontispae) ทำลายหนอนแมลงดำหนาม อัตรา 5-10 มัมมี่ต่อไร่ ปล่อย 3 - 5 ครั้ง ห่างกัน 7 – 10 วัน
กรณีระบาดรุนแรงปานกลางถึงมาก ต้นมะพร้าวมีทางใบยอดที่ถูกทำลาย 6-10 ใบ และ ตั้งแต่ 11 ใบขึ้นไป ใช้สารเคมีป้องกันกำจัด ดังนี้
1. มะพร้าวต้นเล็ก ใช้สาร คาร์แทป ไฮโดรคลอไรด์ 4% GR อัตรา 30 กรัมต่อต้น โดยห่อใส่ถุงเหน็บไว้ที่ยอดมะพร้าว ควบคุมกำจัดแมลงดำหนามได้นาน 1 เดือน หรือใช้สารเคมี ดังนี้
- อิมิดาโคลพริด 70% WG อัตรา 4 กรัม (สารกลุ่ม 4)
- ไทอะมีทอกแซม 25 % WG อัตรา 4 กรัม (สารกลุ่ม 4)
- ไดโนทีฟูแรน 10 % WG อัตรา 10 กรัม (สารกลุ่ม 4)
โดยเลือกสารชนิดใดชนิดหนึ่ง ละลายน้ำ 1 ลิตรต่อต้น ราดบริเวณยอดและรอบคอมะพร้าว
2. มะพร้าวต้นสูงกว่า 12 เมตร ใช้ อีมาเม็กติน เบนโซเอต 1.92 EC (สารกลุ่ม 6 ) ฉีดเข้าลำต้น อัตรา 30 - 50 มิลลิลิตรต่อต้น ป้องกันกำจัดแมลงดำหนามได้นานไม่น้อยกว่า 2 เดือน

"ด้วงงวง"
ลักษณะการทำลาย : ด้วงงวงมะพร้าวจะขยายพันธุ์อยู่ภายในคอยอดมะพร้าว บางครั้งเข้าทำลายที่โคนต้นทำให้มะพร้าวต้นตาย โดยตัวเต็มวัยจะวางไข่ที่รอยแผลบริเวณยอด รอยแตกของโคนทางใบ โคนลำต้น หรือรอยแผลที่เกิดจากการตัดทางใบหรือรอยแผลที่ด้วงแรดมะพร้าวเจาะไว้ สังเกตอาการรุนแรงที่แสดงคือยอดเฉาเหี่ยวแห้ง ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหักพับ

การป้องกันและกำจัด
1. ไม่ปลูกมะพร้าวแบบโคนลอยและอย่าให้เกิดรอยแผล
2. หมั่นดูแลทำความสะอาดคอมะพร้าว ถ้าพบอาการรอยแผล รอยเจาะ และยอดอ่อนที่ยังไม่เหี่ยว ให้ใช้เหล็กยาวปลายเป็นตะขอแทงเข้าไปเกี่ยวเอาตัวหนอนมาทำลาย รอยตัดจั่นมะพร้าวเพื่อทำน้ำตาล รอยแตกที่โคนต้น โดยใช้น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ที่ใช้แล้ว หรือชันผสมกับน้ำมันยาง ทาบริเวณแผล เพื่อป้องกันการวางไข่
3. ทำลายต้นมะพร้าวที่ถูกด้วงงวงมะพร้าวทำลาย เพื่อกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์
4. ใช้กับดักฟีโรโมนล่อด้วงงวงตัวเต็มวัยเพื่อนำไปทำลาย

"ด้วงแรด"
ลักษณะการทำลาย : ตัวเต็มวัยเท่านั้นที่เป็นศัตรูพืชโดยบินขึ้นไปกัดเจาะโคนทางใบและยอดอ่อนของมะพร้าวที่ใบยังไม่คลี่ ทำให้ใบใหม่ไม่สมบูรณ์ เมื่อใบคลี่ออกจะมีรอยขาดแหว่งเป็นริ้วๆ คล้ายรูปพัดหรือหางปลา
การป้องกันและกำจัด :
1. กำจัดแหล่งขยายพันธุ์ โดยการทำลายซากท่อนมะพร้าว ตอมะพร้าว หรือหากมีซากชิ้นส่วนของพืชและมูลสัตว์ ควรเกลี่ยกระจายไม่ให้หนาเกิน 15 ซม. ถ้าจำเป็นต้องกองซากชิ้นส่วนของพืชและมูลสัตว์ทิ้งไว้เกิน 2-3 เดือน ควรหมั่นพลิกกลับกอง เพื่อตรวจหาไข่ หนอน ดักแด้ และตัวเต็มวัยของด้วงแรดแล้วกำจัด

2. ทำความสะอาดบริเวณคอมะพร้าว ตามโคนทางใบ หากพบรอยแผล เป็นรู ให้ใช้เหล็กแหลมแทง เพื่อกำจัดด้วงแรดที่อยู่ในรูไม่ให้สามารถวางไข่ได้

3. ใช้กับดักฟีโรโมนล่อจับตัวเต็มวัย และนำมาทำลาย การวางกับดักฟีโรโมนต้องห่างจากแปลง 3 - 5 เมตร และวางทิศทางต้นลมของแปลงเสมอ

4. ใส่เชื้อราเขียวเมตาไรเซียมในกองล่อ หรือกองขยะ กองปุ๋ยคอก หรือท่อนมะพร้าวที่ผุพังซึ่งอาจมีหนอนด้วงแรดอาศัยอยู่ เชื้อจะทำลายด้วงแรดทุกระยะการเจริญเติบโต

5. การใช้สารเคมีในการกำจัด ใช้สารเคมีราดบริเวณคอมะพร้าวให้เปียกชุ่มโดยใช้น้ำยาผสมประมาณ 1-1.5 ลิตร/ต้น ตามขนาดของคอมะพร้าว จำนวน 1-2 ครั้ง ห่างกัน 15-20 วัน โดยใช้สารกำจัดแมลงชนิดใดชนิดหนึ่ง
- ไดอะซินอน 60% EC อัตราการใช้ 80 มล./น้ำ 20 ลิตร (สารกลุ่ม 1B)
- คาร์บาริล 85% WP อัตรา 80 กรัม/น้ำ 20 ลิตร (สารกลุ่ม 1A)

เติมเต็มความรู้แก่บุคลากรให้ใช้โปรแกรมออนไลน์


วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 นายณัทธร รักษ์สังข์ นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ ได้เป็นวิทยาการถ่ายทอดความรู้การใช้งานโปรแกรม zoom และ  blogspot ให้แก่นักวิชาการของสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 จังหวัดระยอง เพื่อเป็นเครื่องมือในการจัดการอบรม ประชุมออนไลน์ ในภารกิจของหน่วยงาน และสร้าง blog เพิ่มช่องทางประชาสัมพันธ์งานส่งเสริมการเกษตร

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2564

โครงเหล็กสำหรับปูพื้นด้วยกระเบื้องแผ่น "ปลูกผักยกแคร่"

 


#แคร่ปลูกผักที่ใช้กระเบื้องขนาด 4 ฟุต จำนวน 2 แผ่นปูพื้นก่อนใช้ตาข่ายสีฟ้าหรือซาแลนปูพื้นยกขอบแล้วใส่ดินดินปลูก
#ใช้เหล็กพรีกัลวาไนท์ ขนาด 1 นิ้ว ขนาดยาวดังนี้
ยาว 115 cm.จำนวน 4 ท่อน เชื่อมโครงด้านยาวบนล่าง
ยาว 88 cm.จำนวน 5 ท่อน เชื่อมโครงด้านขวางบนล่าง และกลางพื้นล่าง
ยาว 85 cm.จำนวน 4 ท่อน ทำขา
ยาว 12.5 cm จำนวน 2 ท่อน เชื่อมกลางบนล่าง
รวมใช้เหล็ก 2 เส้นกว่าๆ



วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2564

สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 จังหวัดระยอง: ประชุมชี้แจงโครงการมาตรการภาครัฐ ปี 2563 และเร่งรั...

สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 จังหวัดระยอง: ประชุมชี้แจงโครงการมาตรการภาครัฐ ปี 2563 และเร่งรั...:           วันที่ 12 มกราคม 2564  นางอุบล มากอง ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และสารสนเทศ นางสาวนคร คมกล้า นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการพิเศ...

สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 จังหวัดระยอง: ประชุมแนวทางมาตรการการควบคุมและป้องกันแก้ไขทุเรียน...

สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 จังหวัดระยอง: ประชุมแนวทางมาตรการการควบคุมและป้องกันแก้ไขทุเรียน...:             วันที่ 11 มกราคม 2564  นายปิยะ สมัครพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 จังหวัดระยอง เป็นประธานการประชุม แนวทา...

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2564

แนวทางการฟื้นฟูและปรับสภาพดินให้เหมาะสมกับการปลูกพืช เพื่อใช้ในการเพาะปลูกพืชรอบการผลิตครั้งต่อไป

 

จากสถานการณ์น้ำท่วมขังเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบเพิ่มความเสียหายให้กับหน้าดิน ผิวหน้าดินจะถูกชะล้างและมีตะกอนดินขนาดเล็กหรือเลน ที่ถูกพัดพามากับน้ำทับถมอยู่บริเวณผิวดิน และอุดตามช่องว่างในดิน ทำให้ดินมีปัญหาการระบายน้ำและอากาศ ในขณะเดียวกันพื้นที่มีกระแสน้ำหลากจะพัดพาจุลินทรีย์หน้าดินออกไปด้วย และอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นกรดเป็นด่างของดิน การฟื้นฟูและปรับสภาพดินหลังน้ำลดเพื่อทำการเพาะปลูกพืช ในภาพรวมมีแนวทางการปฏิบัติ ดังนี้

  1. ขณะที่ดินยังเปียกหรือดินชี้นอยู่ หลีกเลี่ยงการเดินเหยียบย่ำและใช้เครื่องจักรกลหนักเข้าในพื้นที่ เพื่อป้องกันดินอัดแน่น โครงสร้างดินถูกทำลาย ดินขาดออกซิเจน
  2. เมื่อดินเริ่มแห้งให้ขุดหรือปรับเอาตะกอนดินหรือเลนที่น้ำพัดพามา ออกจากโคนต้นไม้ผล ไม้ยืนต้น และพรวนดินเพื่อเพิ่มออกซิเจนให้แก่รากพืชและจุลินทรีย์ดิน
  3. ฟื้นฟูคุณสมบัติของดินเพื่อการเจริญเติบโตของพืชในรอบการผลิตต่อไป โดยใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อเพิ่มธาตุอาหารพืชในดินร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดิน เช่นปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และอาจต้องใช้ปูนปรับสภาพความเป็นกรดของดิน ตามสภาพความรุนแรงของกรดในพื้นที่ รวมทั้งใส่สารชีวภัณฑ์จำพวกไตรโคเดอร์มา ซี่งเป็นสารกำจัดเชื่อราในดิน
  4. ในพื้นที่ที่มีความลาดเท ต้องมีมาตรการป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน โดยจัดทำแนวคันดิน หรือการปลูกพืชเป็นแนวแทนคันดิน ตามแนวระดับขวางความลาดเทของพื้นที่ เพื่อที่จะสามารถเก็บกักตะกอนดินได้ โดยปล่อยให้น้ำสามารถผ่านได้บ้างบางส่วน
  5. การจัดการทรัพยากรดินในพื้นที่น้ำท่วมอย่างยั่งยืน โดยปลูกพืชตระกูลถั่วหรือคลุมดินด้วยเศษพืชระหว่างแถวปลูกพืช เพื่อยึดหน้าดินรวมถึงชะลอการไหลของน้ำ ซึ่งอาจพัดพาหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์ไป
พื้นที่ปลูกยางพารา
          เกษตรกรควรดำเนินการเร่งขุดร่องระบายน้ำ บริเวณกึ่งกลางระหว่างแถวปลูกยางออกจากสวนยางโดยเร็ว และควรใช้แรงงานคน หรือเครื่องจักรขนาดเล็กเท่านั้น ไม่ควรใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ขุดร่องน้ำ เพราะจะทำให้โครงสร้างของดินยังไม่แน่นพอเสียหาย อาจทำลายรากยางโดยตรง และควรงดใส่ปุ๋ยทุกชนิดในขณะที่ดินยังไม่แห้ง เพราะอาจทำให้เกิดภาวะความเป็นพิษต่อต้นยาง เนื่องจากส่วนของรากขาดออกซิเจน ควรรอให้ต้นยางฟื้นตัวและแข็งแรงดีเสียก่อน อย่างน้อยประมาณ ๓๐ วัน จึงทำการใส่ปุ๋ย หากกรณีต้นยางมีอายุไม่เกิน 1-4 ปี ให้เกษตรกรตัดแต่งกิ่งหลัก เพื่อหลดน้ำหนักและลดการคายน้ำของต้นยาง พร้อมทั้งยกต้นยางให้ตั้งตรงโดยใช้ไม้ค้ำยัน เพื่อให้ต้นยางพารากลับสูสภาพเดิมได้เร็วขึ้น เมื่อดินแห้งให้พรวนดินโคนต้นยางที่อายุน้อยเพื่อปรับสภาพทางกายภาพของดิน สำหรับยางพาราที่อายุมากไม่ควรพรวนดินใต้โคนต้น เพราะจะทำให้กระทบกระเทีอนต่อราก

พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน
          ต้นปาล์มน้ำมันที่ล้มหรือเอนเอียง ควรจัดการให้ต้นปาล์มตั้งตรงเช่นเดิม ต้นปาล์มที่ให้ผลผลิตแล้ว หากน้ำท่่วมทะลาบเป็นเวลานาน จะทำให้ทะลายเน่าต้องตัดทะลายที่เน่าทิ้ง เพื่อให้ให้ต้นปาล์มน้ำมันพื้นตัวเร็วขึ้น ควรมีการฉีดพ่นปุ๋ยทางใบให้บ้าง เพราะระบบรากของพืชยังไม่สามารถทำงานได้เต็มที่

พื้นที่ปลูกข้าว
          หากนาข้าวถูกน้ำท่วมขังจนเสียหายหมด หลังน้ำลดควรปลูกพืชปุ๋ยสด เพื่อปรับปรุงบำรุงดินและเพิ่มธาตุอาหารพืช เช่น ปอเทือง โสนแอฟริกัน ถั่วพร้า ถั่วมะแฮก จะช่วยเพิ่มธาตุอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมในดิน

พื้นที่ปลูกไม้ผลไม้ยืนต้น
          หลังจากน้ำลดแล้ว หากพบว่าต้นไม้ผลมีลำต้นเอนใกล้ล้มให้ใช้ไม้ค้ำยันไว้ โดยไม่เข้าไปเหยียบย่ำโคนต้น เมื่อดินเริ่มแห้งให้ตัดแต่งกิงใบแก่และใบที่ไม่ได้รับแสงแดดออก หากต้นไม้ผลที่ยังมีผลติดอยู่ให้ตัดผลออก เพื่อไม่ให้แย่งสารอาหารที่จะนำไปฟื้นฟูรากและลำต้นไม้ผล และอาจมีการฉีดพ่นปุ๋ยทางใบให้บ้าง

พื้นที่ปลูกพืชผัก
           การลงมือปลูกพืชผักใหม่ทันทีหลังน้ำลดอาจจะทำให้ราเน่า ควรรอให้ดินแห้งระยะหนึ่งก่อน ระยะเตรียมดินควรพิจารณาชนิดผักจะปลูก และควรเพาะกล้าหรือปลูกลงแปลงเล็กๆ ไว้ก่อนเพื่อการดูแลที่ง่ายหลังจากดินแห้งจึงย้ายกล้าที่เพาะไว้ลงดิน


ที่มา : กองส่งเสริมการอารักขาพืชและจัดการดินปุ๋ย กรมส่งเสริมการเกษตร